พี่อ้อม รณชัย - English & Songs

  • Home
  • พี่อ้อม รณชัย - English & Songs

พี่อ้อม รณชัย - English & Songs ภาษาอังกฤษและเพลง ครูภาษาอังกฤษ คนเขียนเพลง วิทยากร สันทนากร พีธีกร DJ *Content Creator* พี่อ้อม รณชัย บ้านตาเก็ม ต.เมืองยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์

25/09/2024

ระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal: DPA และระบบจับคู่ครูคืนถิ่น (Teacher Matching System: TMS) ของสำนักงาน ก.ค.ศ.
ได้รับรางวัลนวัตกรรมระดับประเทศ ในโครงการรางวัลนวัตกรรมการบริหาร
และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2567 (Thailand HR Innovation Award 2024)

25/09/2024
24/09/2024

ยิ่งเราคุ้นเคยกับแบรนด์ไหน เราจะยิ่งชอบและซื้อแบรนด์นั้นเยอะ
สรุป Session Behavioral Design for Better Marketing โดยคุณทอย กษิดิศ สตางค์มงคล เจ้าของเพจ DataRockie ในงาน Marketing Insight & Technology Conference 2024
คุณทอยเริ่มเกริ่นจากเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษก่อนว่า เด็กผู้หญิงวัยมัธยมเริ่มแต่งหน้า ทาลิปสติก แล้วไปจูบกระจกเพื่อเป็นการบอกว่าเรามาถึงที่นี่แล้ว ครูใหญ่จึงได้เรียกเด็กกลุ่มนั้นมาคุย แล้วแสดงให้เห็นว่าการทำความสะอาดนั้นมันยากลำบาก ด้วยการให้ภารโรงสาธิตการทำความสะอาดด้วยการเอาไม้ถูพื้นจุ่มชักโครกเพื่อนำมาเช็ดกระจก หลังจากนั้นมานักเรียนก็ไม่ฝากรอยลิปไว้ที่กระจกอีกเลย
อีกเคสนึงคือเรื่องนักโทษ ส่วนใหญ่จะกลับไปทำผิดแล้วมาเข้าคุกเหมือนเดิม Redemption through Reading สามารถอ่านหนังสือได้เดือนละ 1 เล่ม แล้วเขียนเรียงความส่งคุณครูในคุกทุกเดือน ถ้าทำแบบนี้แล้วนั้นจะได้ลดหย่อนโทษ 4 วัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้นักโทษกลับไปกระทำความผิดน้อยมาก เพราะการอ่านหนังสือทำให้ความคิดของนักโทษกลุ่มนี้นั้นเปลี่ยนไป และยังเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น
เคสสุดท้ายคือพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษที่มีชื่อว่า Portrait Gallery มองเห็นว่าผู้ที่มาเยี่ยมชมส่วนมากจะชมแค่ชั้น 1 และ 2 แต่กลับเดินไปไม่ถึงชั้น 3 พอผู้จัดการเห็นจึงได้ออกแบบให้มีการติดบันไดเลื่อนที่หน้าทางเข้าเพื่อให้คนสามารถขึ้นไปชมชั้น 3 ได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะเดินลงมาชมผลงานในชั้น 1 และ 2
ซึ่งจากเรื่องราวทั้ง 3 นี้แสดงให้เห็นว่า “คนมีทางเลือก” ไม่ว่าเด็กเลือกที่จะจูบกระจก นักโทษเลือกที่จะเข้าโครงการอ่านหนังสือ หรือผู้ชมพิพิธ๓ัณฑ์ที่เลือกจะเดินชมผลงานชั้นไหนก็ได้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้นั้นตรงกับทฤษฎีที่ชื่อว่า 👉🏻Choice Architecture👈🏻ที่มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า ให้ไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
🟠Choice Architecture นั้นมีองค์ประกอบ 4 อย่างคือ
1) Keep all choices ต้องเก็บทางเลือกเอาไว้ให้ครบ ไม่ตัดอะไรออก
2) Free to choose ผู้บริโภคหรือคนมีสิทธิ์ในการเลือก Choice เอง
3) Redesign the interface ปรับ interface ให้เหมาะ อยู่ในจุดที่ผู้บริโภคสามารถรับรู้ได้
4) Lead to a better life ส่งผลไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
แล้วเราจะทำอย่างให้สามารถเปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ เพื่อให้สร้าง Impact ที่ยิ่งใหญ่ นั่นเลยเป็นที่มาของ Behavioural Economics
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
🟠 Behavioural Economics คือศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมของคน หนึ่งในนั้นคือการใส่ Incentive เข้าไปเพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม
ถ้าพูดถึงศาสตร์นี้ก็ต้องนึกถึงหนังสือ Thinking Fast and Slow ของ Daniel Kahneman ที่บอกเอาไว้ว่าการตัดสินใจของมนุษย์มี 2 ระบบด้วยกัน คือ
1️⃣System 1 คือระบบที่เป็น Autopilot ที่ทำงานเร็ว แทบไม่ใช่พลังงานในการคิด แต่อาจทำให้เกิด Bias ในการตัดสินใจได้
2️⃣ System 2 คือ Pilot ต้องใช้พลังงานเยอะในการคิด คิดช้า แต่ก็มีความยืดหยุ่นกว่า ทำให้รับข้อมูลได้น้อย จึงจำเป็นจะต้องมีเทคนิคต่าง ๆ มารับข้อมูล เช่น Chunking การย่อยข้อมูลให้เป็นเพียงแค่ 3 ส่วน เช่นการเปลี่ยนจาก 0991110000 เป็น 099/111/0000 หรือการเขียนคอนเทนต์แล้วแบ่งเป็นย่อหน้าย่อย ๆ

ดังนั้นในการนำเสนอข้อมูล ‘How’ สำคัญกว่า ‘What’ แต่อย่างไรก็ตามสมองของมนุษย์ต้องอาศัยการประมวลผลจากทั้ง 2 ระบบเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
📍 ตัวอย่างของการทำงาน System 1 และ System 2 คือการขายครีมทาหน้า ที่นอกจากส่วนผสมและคุณสมบัติของครีมที่สำคัญแล้ว Packaging อย่างกระปุกก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้บริโภคเลือก ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือรูปลักษณ์ เพราะคนเรามักใช้ System 1 และ System 2 ประกอบกันในการตัดสินใจ
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
🟠 Associative Learning มนุษย์เป็นนักเชื่อมโยง
เวลาที่คนเห็นกาแฟ คนมักจะนึกถึงความกระตือรือร้นหรือการทำงาน เพราะสมองเรามักจะเชื่อมโยงสิ่งที่พบเจอกับสิ่งที่เราเคยเห็นหรือ Pattern ที่เราคุ้นชิน เหมือนกับคำที่ว่า What Fires Together Wires Together หรือที่เรียกว่า “Associative Learning” ดังนั้นในฐานะนักการตลาด เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างความคุ้นชิน ให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับสินค้าของเราก่อนที่จะขาย
หรือการที่เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้จากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ เพราะเด็กนั้นเกิดความคุ้นชิน ได้ยินผู้ใหญ่พูดบ่อย ๆ ก็เลยสามารถทำตามได้
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
🟠 ยิ่งเราคุ้นเคยกับอะไร เราจะยิ่งชอบสิ่งนั้น
เมื่อนำความรู้ทั้ง 2 Systems Thinking มาประกอบกับ Associative Learning แล้ว ก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมผู้บริโภคชอบอะไร และเลือกสินค้าจากอะไร ดังนั้นนักการตลาดต้องทำให้แบรนด์กลายเป็น Top of Mind ผ่านการส่ง Message ไปยังผู้บริโภคบ่อย ๆ จนทำให้แบรนด์เราสามารถนึกถึงได้ผ่านการใช้ System 1 เพราะ Strong Brand จะถูก Process ด้วย System 1 ในขณะที่ Weaker Brand จะถูก Process ด้วย System 2
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
🟠 Social Proof
นอกจากเรื่อง 2 Systems Thinking และ Associative Learning แล้ว Social Proof ยังเป็นอีกหนึ่งหลักการที่มาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม คนเรามักจะทำตามคนหมู่มาก และยิ่งหลายคนทำ เรายิ่งเห็นสิ่งนั้นบ่อย ๆ จนทำให้เรื่องเข้าสู่ System 1 ทำให้เรานึกถึงเรื่องนั้นโดยไม่ต้องคิดเช่นกัน เช่น เวลาที่เราเห็นคนมองฟ้า พอคนหลายคนทำเข้า เราก็ทำตามสังคมไปโดยปริยาย
⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯
❓แล้วในฐานะแบรนด์ เราจะแก้เกมได้อย่างไร
พอเราเข้าใจสิ่งที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว สิ่งที่แบรนด์ควรทำต่อคือการทำความเข้าใจ Insights ลูกค้า ไม่เพียงแต่สิ่งที่เค้าพูดเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจให้ลึกถึงสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดด้วย และสิ่งสำคัญคือปรับการตลาดของตัวเองให้เข้ากับผู้บริโภคด้วยวิธีการเหล่านี้
1️⃣ อย่าขัดความเชื่อผู้บริโภค : ปรับวิธีการสื่อสารที่ไม่ต่างจากความเชื่อของผู้บริโภคจนมากเกินไป เช่น ถ้าผู้บริโภคเชื่อว่าอาหาร Fast Food นั้นทำลายสุขภาพ ก็ไม่ควรจะไปยัดเยียดให้คนเชื่อว่าอาหารแบบนั้นไม่ส่งผลเสีย แต่ไปเน้นการโฆษณาคุณค่าในมุมอื่นแทน
2️⃣ อย่าเปลี่ยน Distinct Visual จนลูกค้าจำไม่ได้: เวลาที่เรามองที่จุดไหนในภาพ จุดอื่น ๆ จะเบลอไปหมด เพราะคนใช้ System 2 มองจุดที่โฟกัส และส่วนที่เหลือของภาพใช้ System 1 มอง ดังนั้น เราต้องสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นที่จดจำให้กับผู้บริโภค และต้องเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสามารถ Recall ได้ทันทีแม้มองผ่าน ๆ เช่น CI หรือโลโก้ และถ้าจะ Rebrand ก็อย่าเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ไปจนลูกค้าจำไม่ได้
3️⃣ สร้าง Branding ที่น่าจดจำ: แม้ว่า Products ของเราและคู่แข่งอาจไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ​ แต่ภาพจำหรือ Branding ทำให้ลูกค้าจำเราในแบบที่ต่างออกไป เพราะคนเราตัดสิน Brand ด้วย System 1 และพิจารณา Product ด้วย System 2
4️⃣ สร้าง Reverse Relationship: เปลี่ยนจากการสร้าง Attitude ที่เปลี่ยน Behaviour ให้กลายเป็นสร้าง Behaviour ที่จะเปลี่ยน Attitude คือทำให้คนเริ่มลงมือทำหรือสร้างความคุ้นชินก่อนที่จะเปลี่ยนความคิด เช่น การให้ลูกค้าทดลองใช้สินค้าจนชินก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นความชอบ
5️⃣ ทำให้ลูกค้ารู้สึก ‘ได้รับ’ มากกว่า ‘สูญเสีย’: Neuro-Logic of Decision Making อธิบายว่าทุกอย่างที่ตัดสินใจทำนั้นขึ้นอยู่กับสมการ “Reward - Pain ต้องมากกว่า 0” เช่น อาจารย์เอกก์เลือกที่จะดื่มกาแฟที่โรงแรมโอเรียนเต็ลแม้ว่าจะมีราคาสูงมาก แต่พอพนักงานอธิบายว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนดังระดับโลกมานั่งดื่มกาแฟก่อนหน้ามากมาย ทำให้อาจารย์ตัดสินใจซื้อกาแฟแก้วนั้นเพราะรู้สึกว่า Value และประสบการณ์ที่ได้รับมากกว่าเงินที่เสียไป
อย่างไรก็ตาม Pain หรือการสูญเสียมันไม่ได้มีเพียงแค่ราคาที่ต้องจ่าย แต่มี Behavioural Cost ด้วย ถ้าสินค้าซื้อยาก เข้าถึงยาก สุดท้ายเราก็อาจเสียลูกค้าไปได้ ดังนั้นเราจึงต้อง Maximize Reward และ Minimize Pain
6️⃣ ทำให้ลูกค้า ‘ชอบ’ จนเลือกเรา: เพราะเรามีเหตุผลบนความไม่มีเหตุผลเสมอ ไม่ว่าคนเราจะมีเหตุผลมากมายขนาดไหน เราก็ไม่สามารถให้ Value เป็นตัวเลขกับทุกตัวเลือกบนโลกได้ แต่สิ่งที่ผู้บรโภคอย่างเราทำได้คือแค่การเปรียบเทียบคุณค่าจากความรู้สึก และแบรนด์เองจึงต้องทำให้ลูกค้า ‘รู้สึก’ ชอบ ผ่านการสร้าง Products ที่ดี และสื่อสารให้ถึง
7️⃣ ทำให้ราคาที่ ’แพง’ ดู ‘ถูก’: ด้วยการทำ Price Anchoring หรือทำให้ลูกค้ามองว่าสินค้าแพง และเชื่อในเลขนั้นก่อนที่จะเฉลยราคาจริง เช่น Steve Jobs เปิดตัว iPad ด้วยการบอกว่า iPad เครื่องนี้นั้นราคาต่ำกว่า $1,000 แล้วให้ลูกค้าทายราคา ซึ่งพอลูกค้าส่วนมากก็จะทายราคาแถว ๆ $1,000 แต่พอเฉลยแล้วพบว่า iPad นั้นราคาเพียง $499 นั่นก็ทำให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้าราคาถูกและน่าซื้อ ทั้งที่ในความเป็นจริงราคาแพงกว่า Laptop เครื่องอื่น ๆ ในตลาด
8️⃣ ผลักภาระไปให้อนาคต และสร้าง Immediate Reward: ให้รางวัลเร็ว ๆ ก่อน เช่น หลาย ๆ คนมัก New Year Resolutions ว่าจะลดน้ำหนัก แต่การลดน้ำหนักนั้นก็ยาก ต้องอาศัยเวลาทั้งการปรับการกิน หรือการออกกำลังกาย นั่นทำให้คนส่วนมากล้มเลิกกลางคัน หลักการนี้สามารถนำมาปรับใช้ได้กับปุ่ม ‘Buy Now Pay Later’ ที่เอาความเจ็บปวดในการจ่ายเงินตอนนี้ไปในอนาคต
9️⃣ เลือกสิ่งที่จะสื่อสาร: นักการตลาดต้องเลือกข้อความที่ช่วยสร้าง Value ให้สินค้า และเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ยิน เช่น Chocolate Balisto ที่บอกว่าช็อคโกแลตนั้นผลิตมาจาก Natural Ingredient ก็มียอดขายที่เติบโตขึ้น หรือการตั้งชื่อเมนูในร้านอาหารให้ดูไม่ยากจนเกินไปจนลูกค้าไม่กล้าสั่ง
🔟 สร้าง Yes Yes Yes: ระหว่างทางที่คุยกับลูกค้า เช่น คิดว่าสุขภาพสำคัญหรือไม่ (Yes) คิดว่าประกันสุขภาพจะช่วยให้เราดูแลสุขภาพมากขึ้นไหม (Yes) แล้วจึงค่อยชวนลูกค้าสมัครประกัน
🔥 คุณทอยสรุปสุดท้ายว่า 3 ข้อสำคัญสำหรับนักการตลาดที่ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคว่า
1️⃣ Reward ต้องมากกว่า Pain: ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุณค่ามากกว่าความเจ็บปวด
2️⃣ Maximize Reward, Minimize Pain: แต่ Pain ไม่ใช่แค่เงิน แต่ยังหมายถึง Behavioural Price ด้วย
3️⃣ Become a Choice Architec: เพื่อสร้างตัวเลือกที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมที่ดี และในการสื่อสารนั้น How สำคัญกว่า What

22/09/2024
18/09/2024

สรุปไอเดีย ขายของดีบน TikTok ด้วยเฟรมเวิร์กการตลาด P A C E

16/09/2024

ฝึกคิด อย่างเป็นระบบ
การคิดเชิงระบบ ( Systems Thinking ) เป็นแนวคิดที่ใช้สำหรับการแก้ปัญหาหรือวางแผนภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการทำงานหรือการทำธุรกิจ แต่ถึงจะเป็นแนวคิดที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อความสำเร็จหรือผลลัพธ์ปลายทาง หลายคนก็มักจะเมินเฉยแนวคิดแบบนี้ไป
ถ้าคุณเคยเจอปัญหาในการประชุมที่มีการเสนอโครงการบางอย่างที่น่าสนใจ แต่ทำไปสักพักกลับต้องหยุดชะงักลงเพราะเพิ่งจะพบว่ามันกลับสร้างปัญหาให้มากกว่าผลลัพธ์ที่ดี นั่นอาจเป็นความคิดโครงสร้างที่มองเพียงแค่ภาพรวม แต่ความคิดเชิงระบบจะมองทั้งภาพรวม และมองลึกลงไปในรายละเอียดรายย่อยด้วย
จากการศึกษาของ Nalani Linder และ Jeffrey Frakes ที่ได้รวบรวมข้อมูลจากนักวิจัยหลายท่าน พวกเขาได้ค้นพบแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อที่มีความสำคัญต่อการคิดอย่างเป็นระบบอย่างมีระเบียบวิธี และมันจะทำให้ผู้คน สามารถจัดการกับสิ่งที่ซับซ้อนได้ง่าย มีกลยุทธ์ที่เป็นระบบมากขึ้นและมีวิธีแก้ไขที่ดีขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
(Reference in comment)
--
Inspire to Scale Up
“สู่ความสำเร็จแบบยุคใหม่”
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน


#ไปให้ถึง100ล้าน

14/09/2024

โฆษณาใน Reel คือน่านน้ำใหม่
สถิติบอก คนเปิดเยอะขึ้นเทคนิคคือ ทำให้บันเทิงใน 15 วิ
(สรุปจากงาน Digital SME Conference Thailand 2024)
มือถือเครื่องเดียวก็ทำโฆษณาได้ แต่จะทำอย่างไรให้คนหยุดดู?
ทำโฆษณายุคนี้ใครช้า “อด”
Message มาช้า , โฆษณาแบบเกริ่น , เน้นอ้อมค้อม คนดูปัดทิ้งแน่นอน เพราะปัจจุบันคอนเทนต์ที่ผ่านตาหน้าฟีด มีความเร็วมากกว่า 1.7 วินาที + สิ่งที่ดึงคนดูได้อีกอย่างคือ Size
เรียนรู้กับ Section : Creative for Mobile first โดย คุณณปภัช ทันตศิลป์ จาก Facebook Thailand
o โฆษณาบนมือถือ ไซส์ไหนดี?
คุณณปภัช บอกว่า 9:16 ชนะ 16:9 ✅
โฆษณาแนวตั้งชนะแนวนอนขาดลอย คนจดจำตัวโฆษณาได้ดีกว่า
ไซส์ได้แล้ว มาต่อกันที่การเล่าเรื่อง สมัยก่อนเราอาจจะอินและชินกับโฆษณาแบบหนัง ค่อย ๆ เริ่มเรื่อง ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป แต่ปัจจุบันไม่ได้แล้ว “มันช้าไป ไม่ทันใจคนดู”
o สิ่งที่ต้องทำใน “ตอนนี้”
Main Message มาก่อน เราคือแบรนด์ไหน ขายอะไร อยากสื่อสารอะไร พูดเลยตั้งแต่แรก สิ่งสำคัญคือ ไม่ควรเกิน 15 วินาที
** หลัง 15 วิ คนอาจจะจำไม่ได้แล้ว **
o Tips 6 ข้อ สำหรับงานโฆษณาบนมือถือ
1.Build Short-From Video
ไม่ควรสร้างโฆษณายาวเกิน (ย้ำ! 15วินาที พอแล้ว)
2.Frame for Mobile
คนจะดูไม่ดู ไซส์คือส่วนสำคัญ แนะนำให้ใช้ไซส์ 9:16 เหมาะกับยุคนี้ที่สุด
3.Highlight your Brand early
สิ่งที่ต้องสื่อสารตั้งแต่ต้น ชื่อแบรนด์ สินค้า พูดตั้งแต่เริ่มเลย
4.Combine Static+Video
ในหนึ่งแคมเปญ ต้องมีทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ คนดูแต่ละคนชอบรูปแบบต่างกัน
5.Focus on Product
โฟกัสสิ่งที่จะขาย ไม่ต้องอ้อมค้อม ถ้าเพิ่งเริ่มทำโฆษณาและคนยังไม่รู้จัก ให้ใช้ Funnel ก่อน เราขายอะไรก็พูดเรื่องนั้น
6.Use a Clear Message
พูด Message ให้จบใน 1 Content ให้คนดูเคลียร์ ชัด เข้าใจ
o คุณนปภัช เปิดสไลด์ให้จำนวนคนที่ใช้งาน Meta’s app ที่แสดงให้เห็นว่า มีคนใช้งานถึง 3.8 พันล้านคน และกว่า 2 ใน 3 ซื้อสินค้าผ่าน Reels
คนทำโฆษณาจึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับ Reels ให้มากขึ้น เพื่อโอกาสขายที่มากขึ้น และเขาได้แชร์หลักการของ Reels 3 ข้อ คือ
1.Make it Entertaining
ทำให้มันบันเทิง ทำให้คนดูรู้สึกไปกับมัน และอยากมีส่วนร่วม
2.Make it Digestible
ทำให้มันเข้าใจง่าย ขายอะไรบอกลูกค้าเลย มีเวลาบนฟีดแค่15 วินาทีเท่านั้น ไม่ต้องทำให้ซับซ้อน
3.Make it Relatable
ทำคลิปให้เกี่ยวกับสิ่งที่เราขาย ขายอาหารทำคอนเทนต์อาหาร ขายรถทำคอนเทนต์เกี่ยวกับรถ
และหลัก ๆ คือ ทำสิ่งที่กลุ่มผู้ติดตามอยากจะฟัง (จากเรา)
สรุปจากงาน Digital SME Conference Thailand 2024
และยังมีหลายบทความสรุปมาให้แบบงานง่ายๆ กดติดตามกันไว้ได้เลยจะได้ไม่พลาด
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
“ทำเงินได้ ทุกช่วงเวลา”
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน

#ไปให้ถึง100ล้าน

14/09/2024

การพัฒนาประเด็นท้าทายสู่ผลลัพธ์ที่ดีของผู้เรียนและความก้าวหน้าของครู

📢 พบกันอีกครั้ง คุณครูทุกท่านห้ามพลาด !! 
PA Live Talk : แบ่งปันไอเดีย สร้างห้องเรียนสมรรถนะตามเกณฑ์ วPA

✨ หัวข้อ "การพัฒนาประเด็นท้าทายสู่ผลลัพธ์ที่ดีของผู้เรียน (ข้อตกลงในการพัฒนางาน PA ที่โรงเรียน)"

⏰ รับชมผ่าน Live : วันอังคาร ที่ 17 กันยายน 2567
เวลา 19.00 - 20.00 น.

✅ แขกรับเชิญพิเศษ:
1. นายศิวรัตน์ พายุหะ ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษโรงเรียนพระแท่นดงรังวิทยาคาร
2. นายพีรวัส กาญจนรัตน์ ครูโรงเรียนพระแท่นดงรังวิทยาคาร

✅ ดำเนินรายการและร่วมเสวนาโดย:
นายตะวัน แสงทอง (ครูโทนี่) รองผู้อำนวยการโรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์วิทยา
จังหวัดกาญจนบุรี

  #รองโทนี่ #ครูโทนี่ #การศึกษา

13/09/2024

2 พี่น้อง สร้างธุรกิจกำจัดปลวกอย่างไร ? ให้มีมูลค่า 800,000 ล้าน /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า บนโลกนี้มีบริษัทที่ทำธุรกิจกำจัดปลวกและแมลง ที่มีมูลค่ากิจการมากถึง 800,000 ล้านบาท นั่นคือ Rollins

ที่น่าสนใจคือ 2 พี่น้องเจ้าของบริษัท
เริ่มแรกพวกเขาทำธุรกิจสื่อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับแมลงเลย

แล้วทำไมจากธุรกิจสื่อ ถึงข้ามมาเป็นบริษัทกำจัดปลวกที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้
และบริการกำจัดปลวก ที่หลายคนมองข้าม
สามารถกลายเป็นธุรกิจมูลค่าขนาดนี้ได้อย่างไร ?

ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรื่องนี้ มีจุดเริ่มต้นจาก 2 พี่น้อง คุณ John Rollins และคุณ Orville Rollins ที่ทำธุรกิจสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ในตอนแรก

แต่พอธุรกิจเดิมเริ่มอิ่มตัว 2 ผู้ก่อตั้งก็เริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต ซึ่งก็ลองอยู่หลายอย่าง..

เริ่มตั้งแต่การหันมาทำธุรกิจสวนผลไม้ ไปจนถึงเข้าซื้อกิจการเครื่องสำอาง มาบริหารต่อ

ก่อนจะมาเจอกับจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ Orkin บริษัทกำจัดปลวกและแมลง ได้ประกาศขายกิจการในปี 1964

ต้องเล่าก่อนว่า ในสมัยก่อน การกำจัดแมลง ยังไม่แพร่หลายเหมือนสมัยนี้

อย่างเช่น การทำเกษตรในสมัยก่อน ก็จะเลือกช่วงเวลาเพาะปลูกเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงที่แมลงชุกชุมแทน

หรือจะเป็นการใช้แมลงบางสายพันธุ์ ไปปล่อยในสวนเพื่อให้กำจัดแมลงสายพันธ์ุอื่นที่เป็นศัตรูของพืชอีกที

แต่ต่อมาก็ได้มีการใช้สารสกัดจากพืช มาใช้เป็นยาฆ่าแมลง และเริ่มมีการจดบันทึกวิธีการต่าง ๆ ทำให้วิธีการกำจัดแมลงเป็นเรื่องที่ชัดเจนขึ้น

อีกทั้งช่วงเวลานั้น ยังเป็นช่วงเวลาที่คนในสหรัฐอเมริกา แห่กันย้ายเข้าเมือง แล้วเจอกับปัญหาเรื่องแมลงรบกวน

โดยเฉพาะปลวก ที่เติบโตอย่างมาก เพราะคนอเมริกัน นิยมใช้ไม้ในการสร้างบ้าน
ก็เลยทำให้อุตสาหกรรมนี้ เติบโตอย่างมากในยุคนั้น..

กลับมาที่เรื่องของ Rollins กันต่อ
พอ Orkin ประกาศขายกิจการ Rollins ที่มองหาโอกาสการเติบโตอยู่ ก็เลยสนใจขึ้นมา

แต่ดันติดตรงที่ บริษัทมีทุนอยู่ 340 ล้านบาท แต่เจ้าของเดิมของ Orkin ตีมูลค่าบริษัทไว้ที่ 2,100 ล้านบาท

พอเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ 2 พี่น้อง Rollins ก็เลยใช้วิธีที่เรียกว่า Leveraged Buyout หรือการกู้เงินมาซื้อกิจการ โดยใช้ทรัพย์สินของทั้ง 2 บริษัทมาค้ำประกัน

เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนก็อาจจะคิดว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงมาก เพราะถ้าล้มเหลวขึ้นมา ก็จะเสียทั้งกิจการเดิม และกิจการใหม่ไปเลย

แต่ในตอนนั้น Orkin เอง ก็เป็นบริษัทที่มีทั้งรายได้ และกำไรแล้ว แถมยังมีเงินสดติดมืออีกด้วย

- รายได้ 1,280 ล้านบาท
- กำไร 102 ล้านบาท
- เงินสด 340 ล้านบาท

จากการประเมินของ 2 พี่น้องแล้ว ทั้งคู่ก็สรุปได้ว่า ดีลนี้เป็นดีลที่เหมาะสมกับการทำ Leveraged Buyout และไม่ได้เสี่ยงอย่างที่คิด
โดยทั้ง 2 บริษัท ยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโต และยังสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหลังจากซื้อกิจการมาเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจกำจัดแมลงของ Orkin ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ Rollins ที่เป็นบริษัทแม่ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้สำเร็จ

ส่วนหนึ่งเพราะโมเดลของธุรกิจกำจัดแมลง ที่ใช้สัญญาระยะยาว โดยลูกค้าจะจ่ายเงินก้อนล่วงหน้า เพื่อรับบริการดูแลต่อเนื่องตลอดอายุสัญญา

ทำให้บริษัท มีเงินสดเข้ามาหมุนเวียน ซึ่งนอกจากจะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีแล้ว ยังสามารถนำเงินสดส่วนเกิน ไปใช้ต่อยอดขยายกิจการได้ด้วย โดยไม่ต้องไปพึ่งเงินกู้จากธนาคารมากนัก

ความสำเร็จของธุรกิจกำจัดปลวกและแมลง ก็ทำให้ Rollins ปรับโครงสร้าง ด้วยการเอาธุรกิจอื่นออกไป แล้วหันมาโฟกัสกับธุรกิจนี้แทน

และขยายอาณาจักร ผ่านการเข้าซื้อกิจการกำจัดแมลงต่าง ๆ จนมีแบรนด์ในเครือมากมาย ตัวอย่างเช่น

- Industrial Fumigant Company ที่ให้บริการกำจัดแมลงสำหรับธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร และอุตสาหกรรม

- HomeTeam Pest Defense ที่เป็นผู้นำด้านการกำจัดแมลงในบ้าน

ต่อไปเราลองมาดู รายได้ กำไร ของ Rollins กันบ้าง

ปี 2021 รายได้ 82,900 ล้านบาท กำไร 12,200 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 92,200 ล้านบาท กำไร 12,600 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 105,000 ล้านบาท กำไร 14,900 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า รายได้ กำไร เติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ที่ซื้อเข้ามา

แล้วเราได้รู้อะไรจากเรื่องนี้ ?

ก็คงเป็นเรื่องที่ว่า การลองผิดลองถูกเพื่อหาสิ่งที่ใช่ ก็เป็นแนวทางที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำเนินชีวิต หรือการขยายองค์กร จากธุรกิจเดิมที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว

เหมือนกับ 2 พี่น้อง Rollins ที่มองหาการเติบโตจากธุรกิจใหม่ แม้จะไม่เกี่ยวกับธุรกิจเดิมเลยด้วยซ้ำ และดูเป็นไปได้ยากที่จะสำเร็จ

ถือว่าต้องใช้ความกล้าหาญพอสมควร ในการก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง แล้วก้าวไปสำรวจในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย

ซึ่งระหว่างทางก็ต้องผิดหวังบ้าง สมหวังบ้างเป็นธรรมดา
แต่พอจุดติด เจอสิ่งที่ใช่แล้ว ก็ต้องทุ่มไปให้สุดตัว

เหมือนอย่าง Rollins ที่ยอมทิ้งธุรกิจเดิม เพื่อหันมาโฟกัสแต่ธุรกิจกำจัดปลวกและแมลง
และเข้าซื้อกิจการไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบริษัทกำจัดปลวก มูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
https://business.columbia.edu/sites/default/files-efs/imce-uploads/ROL.pdf
https://giecdn.blob.core.windows.net/fileuploads/document/2023/05/05/top%20100%20poster.pdf
-https://www.nytimes.com/1964/06/20/archives/rollins-proposes-to-acquire-orkin-for-624-million.html
-https://www.orkin.com/press-room/orkin-celebrates-120-years
-https://www.privco.com/knowledge-bank/TheFirstLeveragedBuyout
-https://www.yumpu.com/en/document/read/66995499/tippie-magazine-special-issue-2022-tippie-college-of-business

09/09/2024

อธิบาย 6 ขั้นตอน หาหุ้นปันผล ให้มีกิน มีใช้ ได้ตลอดชีวิต | MONEY LAB
เส้นทางการไปสู่อิสรภาพทางการเงินมีหลากหลายวิธี และแต่ละคนก็เลือกเส้นทางแตกต่างกันไป

แต่มีอยู่วิธีหนึ่ง ที่มีหลักการเรียบง่าย ไม่ต้องเร่งรีบ แต่ค่อย ๆ อดทนทำไปเรื่อย ๆ สักวันเราทุกคนก็สามารถไปถึงอิสรภาพทางการเงินได้เหมือนกัน

วิธีที่ว่าก็คือ การลงทุนในหุ้นของบริษัทพื้นฐานดี ที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้เรามีกินมีใช้ไปได้ ตลอดชีวิต

แล้วหลักการในการหาหุ้นแบบนี้ลงทุนเพื่อชีวิตของเรา เป็นอย่างไร ?

MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ

หลักการหาหุ้นปันผล ที่เราสามารถถือลงทุนไปยาว ๆ ได้ มีอยู่ 6 ข้อ

1. บริษัทต้องมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

คุณลักษณะที่บอกว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ก็อย่างเช่น

- มีคุณภาพของรายได้และกำไรที่ดี เช่น ขายสินค้าที่ลูกค้าจะต้องกลับมาซื้อซ้ำบ่อย ๆ

- ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สินค้าและบริการของบริษัท จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

- มีแบรนด์ของสินค้าที่แข็งแกร่ง ที่ลูกค้ามักนึกถึงเป็นลำดับแรก ๆ เสมอ

- มีผู้บริหารที่เก่ง ขยัน และมีธรรมาภิบาล คอยดูแลบริษัทอยู่

- ในระยะยาว บริษัทยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก ทำให้รายได้และกำไรของบริษัทมากขึ้น

เช่น สามารถขยายธุรกิจเข้าไปแข่งขันในตลาดใหม่ ๆ หรือสามารถปรับราคาขายสินค้าให้สูงขึ้นได้

2. บริษัทต้องมี ROE ที่สูง

ROE ย่อมาจาก Return on Equity
หรือแปลเป็นไทยว่า “ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น”

ไว้ใช้ดูว่า ผู้บริหารของบริษัทนี้สามารถนำเงินในส่วนของผู้ถือหุ้น ไปสร้างผลตอบแทนออกมา ได้ดีและคุ้มค่าแค่ไหน

บริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว ควรจะมี ROE ที่สูง อย่างน้อย 15% ขึ้นไป ได้อย่างต่อเนื่อง

3. บริษัทต้องมีหนี้น้อย

การที่บริษัทมีหนี้สินมากเกินไป ก็นับเป็นความเสี่ยงมากอย่างหนึ่ง เพราะในช่วงที่เหตุการณ์ปกติ บริษัทอาจจะสามารถทำธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่หากวันหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น โรคระบาด วิกฤติเศรษฐกิจ ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม

ก็สามารถส่งผลให้ธุรกิจของบริษัท เจอกับปัญหาร้ายแรงจนขาดสภาพคล่อง และมีปัญหาในการชำระหนี้ได้เลย

แต่บริษัทที่มีหนี้สินน้อย มักจะผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาได้ง่ายกว่าบริษัทที่มีหนี้สินมาก

ดังนั้น ก่อนที่จะลงทุน การวิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องหนี้สินของบริษัท จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

โดยเราจะใช้อัตราส่วน 2 ตัวในการวิเคราะห์เรื่องนี้

ตัวแรกเลยคือ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ D/E Ratio

คำนวณจาก
หนี้สินสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น

D/E Ratio ไว้ใช้เทียบว่า บริษัทมีหนี้สินรวมมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับเงินในส่วนของเจ้าของบริษัท

โดย D/E Ratio ที่อยู่ในระดับปลอดภัย ไม่ควรมากกว่า 2 เท่า ถ้ามากกว่านั้น อาจจะหมายความว่า บริษัทเริ่มมีหนี้มากเกินไป

อย่างไรก็ตาม การดูแค่ D/E Ratio อย่างเดียว ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก เพราะมีหนี้สินประเภทเจ้าหนี้การค้าอยู่เยอะ

ดังนั้น เราจึงต้องใช้อัตราส่วนตัวต่อมา ดูประกอบกันไปด้วย นั่นก็คือ

อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ IBD/E Ratio

คำนวณจาก
หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย / ส่วนของผู้ถือหุ้น

IBD/E Ratio ไว้ใช้ดูว่า บริษัทมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมดเยอะแค่ไหน เมื่อเทียบกับเงินในส่วนของเจ้าของบริษัท

โดย IBD/E Ratio ไม่ควรเกิน 1.5 เท่า เพราะถ้ามากกว่านี้ หมายความว่า บริษัทกำลังมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยมากเกินไป

และยิ่งบริษัทมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยมากเท่าไร เงินที่บริษัทได้มาจากการทำธุรกิจ ก็จะต้องจ่ายคืนหนี้มากขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีหนี้เยอะในบางช่วงเวลา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสมอไป เพราะในบางครั้ง บริษัทจำเป็นต้องกู้เงินมาเยอะ เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ

หากธุรกิจเป็นไปด้วยดี สร้างกระแสเงินสดกลับเข้ามาให้บริษัทมากมาย อีกไม่นาน หนี้สินของบริษัทก็จะลดลงได้ โดยไม่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป

ซึ่งวิธีที่จะไว้ใช้ดูว่า บริษัทมีความสม่ำเสมอในการสร้างกระแสเงินสดดีมากแค่ไหน จะอยู่ในข้อที่ 4

4. บริษัทต้องมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก และควรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระแสเงินสดอิสระ หรือ Free Cash Flow เปรียบเสมือนเงินสดที่ไหลเข้ามาในบริษัท ที่เจ้าของจะเอาไปทำอะไรก็ได้

เพราะเป็นกระแสเงินสดที่คงเหลืออยู่ หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนทุกอย่างไปหมดแล้ว

คำนวณหาได้จาก
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน - รายจ่ายเพื่อการลงทุน

ลองมาดูตัวอย่างกัน เช่น บริษัท A มี
- กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน 1,000 ล้านบาท
- รายจ่ายเพื่อการลงทุน 500 ล้านบาท

บริษัท A จึงมีกระแสเงินสดอิสระ เท่ากับ 500 ล้านบาท

บริษัทที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขัน มักจะมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกสม่ำเสมอ

หากบริษัทผลิตกระแสเงินสดอิสระได้มาก และเพิ่มขึ้นในทุกปีได้ด้วย บริษัทก็ยิ่งมีโอกาสจะจ่ายคืนหนี้ได้เร็วขึ้น รวมถึงจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืน ได้มากขึ้นด้วย นั่นเอง

5. บริษัทต้องมีประวัติการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอ

บริษัทควรมีประวัติการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในทุกปี โดยควรจ่ายเพิ่มขึ้น อย่างน้อยเฉลี่ย 3% ขึ้นไป

เช่น ปี 2566 บริษัท A จ่ายเงินปันผล 1 บาทต่อหุ้น แต่พอในปี 2567 บริษัท A มีกำไรมากขึ้น ทำให้จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 1.05 บาทต่อหุ้น

เงินปันผลที่จ่ายเพิ่มขึ้นจาก 1 บาทต่อหุ้น มาเป็น 1.05 บาทต่อหุ้น ก็คือบริษัท A จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งมากกว่า 3% เสียอีก

เหตุผลที่ใช้ 3% เป็นขั้นต่ำ ก็เพราะว่า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในระยะยาว อยู่ที่ประมาณ 2% ต่อปี

ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลให้กับเรามากขึ้นได้เฉลี่ยประมาณ 3% ในทุกปี ก็เท่ากับว่า เราจะได้รับกระแสเงินสดในรูปเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นในทุกปี มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ

เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2% จะกัดกินอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยของเงินที่เรามีอยู่

แต่ถ้าเราลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อได้ ก็เท่ากับเรากำลังมีตัวช่วยปกป้องอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของเงินเราอยู่ นั่นเอง

และยิ่งถ้าเราได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปีได้สูง เราก็ยิ่งปลอดภัยจากเงินเฟ้อมากขึ้น

6. รอซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม ตอนที่มีส่วนลด

ถึงตรงนี้ เราก็คงพอจะเข้าใจถึงหลักการในการหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลให้เราได้มากขึ้นในทุก ๆ ปีแล้ว

สิ่งที่เราควรทำต่อไปก็คือ การซื้อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ ในราคาที่ยุติธรรม ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยเราต้องไม่ซื้อหุ้นมาในราคาที่แพงเกินไป

หรือหมายความว่า ทุกครั้งก่อนจะซื้อหุ้น เราจะต้องประเมินมูลค่าหุ้นก่อน

ซึ่งวิธีที่เหมาะสมในการใช้ประเมินมูลค่าหุ้น ก็มีอยู่หลากหลายแบบ เช่น

- ประเมินมูลค่าด้วย P/E Ratio
- ประเมินมูลค่าด้วยเงินปันผล หรือ Dividend Discount Model
- ประเมินมูลค่าด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด หรือ Discount Cash Flow Model

เมื่อเราประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทออกมาได้แล้ว เราจะต้องกำหนดส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety เอาไว้เสมอด้วย

ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย มีไว้ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการวิเคราะห์ของเรา โดยเราจะต้องไม่ซื้อหุ้นของบริษัท ในราคาที่เกินกว่าที่กำหนดไว้เด็ดขาด

ตัวอย่างเช่น เราคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท A ออกมาได้ที่ 10 บาทต่อหุ้น

เราก็อาจจะกำหนดว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยในการลงทุน อยู่ที่ 50%

ดังนั้น เราก็จะซื้อหุ้นของบริษัท A ไม่เกิน 5 บาทต่อหุ้นเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอนำหลักการข้างต้นมากล่าวโดยสรุปอีกครั้ง

สรุปแล้ว หลักการในการลงทุนหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี ที่จะสร้างกระแสเงินสด ให้เราเก็บกินไปได้อย่างยาวนาน มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ข้อ

1. หาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้เจอ
2. บริษัทต้องมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น สูงกว่า 15%
3. บริษัทต้องมีหนี้น้อย
4. บริษัทต้องมีกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
5. มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอ
6. รอซื้อหุ้น ตอนที่ราคาถูก

หากเราทำได้ดังนี้ อดทน เก็บออม และลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ อย่างมีวินัย เงินปันผลที่ได้รับมา ก็นำกลับไปลงทุนเพิ่ม ยังไม่เอาออกมาใช้

สักวันกระแสเงินสดที่เราได้จากการลงทุนในรูปของเงินปันผล ก็น่าจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเรา

และวันนั้น ก็คือวันที่เราจะบอกกับตัวเองได้อย่างเต็มปากว่า “ฉันมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว..”

#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#หุ้นปันผล

08/09/2024

คำศัพท์สำคัญในการสอบ CEFR 👇👇

07/09/2024

"หากย้อนกลับไปในอดีต หลายประเทศจะมองว่าจีนเป็นแค่ “พวกที่มีดีแต่ลอกชาวบ้าน” แต่วันนี้จีนคือประเทศที่ยื่นจดสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก"

อ่านเพิ่มเติม https://bbc.in/4gityUM

Kru Aom loved teaching his students about nature. One day, he brought a small seed to class and said, "This tiny seed ho...
06/09/2024

Kru Aom loved teaching his students about nature. One day, he brought a small seed to class and said, "This tiny seed holds great potential. Let’s plant it together."

The students were excited as they helped dig a small hole in the school garden. They gently placed the seed in the soil, covered it, and watered it. Every day, Kru Aom and his students took turns caring for the plant, watching it grow little by little.

After a few weeks, a beautiful flower bloomed. Kru Aom smiled and said, "Just like this plant, with care and effort, you can all grow and achieve great things." The students beamed, knowing they had learned an important lesson about patience and growth.

เราจะเปลี่ยนแปลงนิสัยได้อย่างไร
05/09/2024

เราจะเปลี่ยนแปลงนิสัยได้อย่างไร

05/09/2024

หัวข้อแบบทดสอบการพูด Speaking Part ⭐👇👇👇

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when พี่อ้อม รณชัย - English & Songs posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to พี่อ้อม รณชัย - English & Songs:

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share